วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ไข้หวัดใหญ่2009

ปัจจุบันโอกาสที่ไวรัสสามารถติดต่อจากคนสู่คนสูงเริ่มสูงมากและเริ่มมีการระบาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่อัตราเสี่ยงจากการรับประทานเนื้อสุกรและอาหารที่ประกอบจากเนื้อสุกรนั้นไม่มีโอกาสเลย หากเราพบผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายไข้หวัด ควรสวมจะหน้ากากอนามัยคือเราควรจะพกหน้ากากอนามัยติดตัวไว้ตลอดเวลาและอีกอย่างหนึ่งก็คือควรหลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชนหรือสถานที่แออัด เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่าคนไหนติดเชื้ออยู่ ไปพบแพทย์เมื่อเรารู้สึกว่ามีอาการเป็นไข้เพื่อได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน ควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง โดยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผัก ผลไม้ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่ งดดื่มเหล้า ล้างมือบ่อยๆ เพื่อรักษาความสะอาด

อาการและการสังเกต

อาการป่วยของผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2009 นั้น จะไม่แตกต่างจากผู้ที่ป่วยด้วยโรคไข้หวัดทั่วๆ ไป ลักษณะจะคล้ายกับเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ คือ มีไข้สูง ปวดเมื่อยตามร่างกาย ไอ มีน้ำมูก ต้องนำมาแยกเชื้อดูในห้องปฏิบัติการ เชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่มีการแพร่ติดต่อเช่นเดียวกับโรคไข้หวัดใหญ่ใน คนโดยทั่วไป เชื้อที่อยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย แพร่ไปยังผู้อื่นโดยการไอหรือจามรดกันในระยะใกล้ชิด หรือติดจากมือ และสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ และเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูก และตา เช่น การแคะจมูก การขยี้ตา ไม่ติดต่อจากการรับประทานเนื้อสุกร

การรักษา

องค์การอนามัยโลกออกมาเตือนว่าการฉีดวัคซีนป้องกัน ไข้หวัดใหญ่นั้นยังไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสนี้ได้ เพราะว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ยังไม่สามารถต้านเชื่อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ได้ในขณะนี้ แต่จากผลการทดสอบในห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์บ่งชี้ว่า ไวรัสสายพันธุ์ใหม่สามารถรักษาได้ด้วยยาทามิฟูล และยารีเลนซาเป็นยาปฏิชีวนะที่สามารถต้านไวรัสสายพันธุ์ใหม่ได้ในขณะนี้ แต่ต้องรับยาภายใน 48 ชั่วโมง เพราะมีโอกาสที่เชื้อไวรัสจะกลายพันธุ์ได้อีกในอนาคต

ระดับการระบาด

ระดับการระบาดของเชื้อโรค เป็นตัวเลขระดับการระบาดของเชื้อโรคสายพันธุ์ต่างๆที่มีขึ้นและเกิดการระบาดขึ้นบนโลก เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในประเทศไทยจากเหตุการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่สุกรสายพันธุ์ใหม่ พ.ศ. 2552 ซึ่งในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ 4

การแบ่งจะมีอยู่ทั้งหมด 6 ระดับ โดย องค์การอนามัยโลก ดังต่อไปนี้

ระดับทั่วไประดับ 1
จะเป็นระดับที่ยังไม่พบเชื้อโรคในมนุษย์ หรืออาจจะมีเชื้อโรคดังกล่าวในสัตว์บางตัว แต่ความเสี่ยงที่จะระบาดสู่คนอยู่ใน

ระดับต่ำ

ระดับ 2 มีการระบาดอย่างชัดเจนในสัตว์ ยังไม่มีการระบาดในมนุษย์ แต่ความเสี่ยงที่จะระบาดสู่คนสูงขึ้น

ระดับเตือนภัย

ระดับ 3 จะเป็นระดับที่มีการพบการระบาดจากสัตว์สู่คน แต่ยังไม่พบการระบาดจากคนสู่คน

ระดับ 4 พบการระบาดจากคนสู่คน แต่เชื้อโรคยังไม่สามารถรับมือกับระบบภูมิต้านทานในร่างกายได้ดีนัก การติดโรคที่ยังอยู่ในระดับนี้จึงยากมาก(แต่ก็ติดโรคได้) ดังนั้น การระบาดในระดับนี้สามารถจำกัดไว้ในวงแคบได้

ระดับ 5 มีการระบาดในวงกว้างขึ้น เชื้อโรคสามารถรับมือกับระบบภูมิต้านทานในร่างกายได้ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ การติดโรคที่อยู่ในระดับนี้ง่ายกว่าระดับ 4 แต่ก็ยังจัดอยู่ในระดับที่ยาก จึงยังสามารถจำกัดวงการระบาดได้เช่นกัน

ระดับระบาด

ระดับ 6 เกิดการระบาดของเชื้อโรคทั่วโลก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประวัติ ภาษา c

ประวัติภาษาซี
ภาษาซีเป็นภาษาที่ถือว่าเป็นทั้งภาษาระดับสูงและระดับต่ำ ถูกพัฒนาโดยเดนนิส ริดชี (Dennis ritche) แห่งห้องทดลองเบลล์ (Bell laboratories) ที่เมอร์รีฮิล มลรัฐนิวเจอร์ซี่ โดยเดนนิสได้ใช้หลักการของภาษา บีซีพีแอล (BCPL : Basic Combine Programming Language) ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยเคน ทอมสัน (Ken tomson) การออกแบบและพัฒนาภาษาซีของเดนนิส ริดชี มีจุดมุ่งหมายให้เป็นภาษาสำหรับใช้เขียนโปรแกรมปฏิบัติการระบบยูนิกซ์ และได้ตั้งชื่อว่า ซี (C) เพราะเห็นว่า ซี (C) เป็นตัวอักษรต่อจากบี (B) ของภาษา BCPL ภาษาซีถือว่าเป็นภาษาระดับสูงและภาษาระดับต่ำ ทั้งนี้เพราะ ภาษาซีมีวิธีใช้ข้อมูลและมีโครงสร้างการควบคุมการทำงานของโปรแกรมเป็นอย่างเดียวกับภาษาของโปรแกรมระดับสูงอื่นๆ จึงถือว่าเป็นภาษาระดับสูง ในด้านที่ถือว่าภาษาซีเป็นภาษาระดับต่ำ เพราะภาษาซีมีวิธีการเข้าถึงในระดับต่ำที่สุดของฮาร์ดแวร์ ความสามารถทั้งสองด้านของภาษานี้เป็นสิ่งที่เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ความสามารถระดับต่ำทำให้ภาษาซีสามารถใช้เฉพาะเครื่องได้ และความสามารถระดับสูง ทำให้ภาษาซีเป็นอิสระจากฮาร์ดแวร์ ภาษาซีสามารถสร้างรหัสภาษาเครื่องซึ่งตรงกับชนิดของข้อมูลนั้นได้เอง ทำให้โปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาซีที่เขียนบนเครื่องหนึ่ง สามารถนำไปใช้กับอีกเครื่องหนึ่งได้ ประกอบกับการใช้พอยน์เตอร์ในภาษาซี นับได้ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของการเป็นอิสระจากฮาร์ดแวร

ภาษาซีเป็นภาษาที่มีลักษณะเด่นพอสรุปได้ดังนี้
- เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่มีการพัฒนาขึ้นใช้งานเพื่อเป็นภาษามาตรฐานที่ไม่ขึ้นกับโปรแกรมจัดระบบงานและไม่ขึ้นกับฮาร์ดแวร์
- เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่อาศัยหลักการที่เรียกว่า "โปรแกรมโครงสร้าง" จึงเป็นภาษาที่เหมาะกับการพัฒนาโปรแกรมระบบ
- เป็นคอมไพเลอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง ให้รหัสออบเจ็กต์สั้น ทำงานได้รวดเร็ว เหมาะกับงานที่ต้องการ ความรวดเร็วเป็นสำคัญ
- มีความคล่องตัวคล้ายภาษาแอสแซมบลี ภาษาซีสามารถเขียนแทนภาษาแอสแซมบลีได้ดี ค้นหาที่ผิดหรือ แก้โปรแกรมได้ง่าย ภาษาซีจึงเป็นภาษาระดับสูงที่ทำงานเหมือนภาษาระดับต่ำ
- มีความคล่องตัวที่จะประยุกต์เข้ากับงานต่างๆ ได้เป็นอย่างดี การพัฒนาโปรแกรม เช่น เวิร์ดโพรเซสซิ่ง สเปรดชีต ดาตาเบส ฯลฯ มักใช้ภาษาซีเป็นภาษาสำหรับการพัฒนา
- เป็นภาษาที่มีอยู่บนเกือบทุกโปรแกรมจัดระบบงาน มีในเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 8 บิต ไปจนถึง 32 บิต เครื่องมินิคอมพิวเตอร์ และเมนเฟรม
- เป็นภาษาที่รวมข้อดีเด่นในเรื่องการพัฒนา จนทำให้ป็นภาษาที่มีผู้สนใจมากมายที่จะเรียนรู้หลักการของภาษา และวิธีการเขียนโปรแกรม ตลอดจนการพัฒนางานบนภาษานี้
จุดเด่นของภาษา[*]เป็นภาษาที่มีการกำหนดมาตรฐานสำหรับคอมพิวเตอร์ทุกรุ่นและระบบปฏิบัติการทุกชนิด ทำให้โครงสร้างทางภาษา ฟังก์ชั่นและไลบราลี (Library) ต่างๆ สามารถนำไปใช้ได้ทุกรุ่นและทุกระบบปฏิบัติการ[*]โปรแกรมที่เขียนออกมาจะมีขนาดเล็กและทำงานได้รวดเร็วเหมือนภาษาระดับต่ำ แต่เข้าใจง่ายเหมือนภาษาระดับสูง (ภาษาซีจัดอยู่ในภาษาระดับกลาง แต่หนังสือบางเล่มจะจัดภาษาซีอยู่ในภาษาระดับสูง แต่ผมว่าระดับกลางน่าจะเหมาะกว่า อิอิ)[*]มีโครงสร้างทางภาษาที่ดี และเครื่องหมายการดำเนินการ (Operators) มีประสิทธิภาพสูงและยืดหยุน (สังเกตุได้จาก x++,++x ที่งงกันไปพักนึง ฮ่าๆ)[*]ภาษา C สามารถเขียนเพื่อควบคุมฮาร์ดแวร์ได้ ซึ่งบางภาษามันทำไม่ได้เช่น ภาษา Basic[*]มีฟังก์ชั่นสำเร็จรูปไว้ให้เราใช้งานเยอะ!! ทำให้เราไม่ต้องเขียนเอง และหากว่า ฟังก์ชั่นที่มีมาให้มันไม่โดนใจ เราสามารถเขียนเองและเพิ่มเติมลงไปได้ หรืออาจจะแจกจ่ายให้เพื่อนๆ

ตัวอย่างภาษา c

#include#includemain(){clrscr();cout<<"My name is teeraphon suepray \n";cout<<"Nick name max \n";cout<<"age 18 year old\n";cout<<"Address 25/88 T.banggrajwo A.Mueng Samutsakon 74000\n";cout<<"Institute Samutsongkhram Technical College\n";cout<<"Section Information Technorogy\n";cout<<"Father Name\n";cout<<"suraphon suepray\n";cout<<"Mother Name\n";cout<<"siraprapa simonggam\n";getch();return 0;}